ถ้าไม่อยากเสียภาษีให้ประเทศนี้
อยู่ ๆ ผมก็คิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาในเช้าที่สดใสวันหนึ่ง
เราต้องทำอย่างไรบ้าง?
พอพูดถึงคำว่า “ไม่อยากเสียภาษี” หลายคนอาจจะคิดว่านี่เป็นเรื่องของการเมืองใช่ไหมครับ แต่จริง ๆ แล้วผมแค่อยากชวนลองคิดและทำความเข้าใจถึงเรื่องของ “ฐานภาษี” และ “วิธีการคิดภาษี” ผ่านการตั้งคำถามจากภาษีที่เราทุกคนต้องเสียกันอยู่ในทุกวันว่าจะทำอย่างไรดี โดยที่ไม่ต้องหันหลังให้ประเทศนี้และย้ายไปอยู่ประเทศอื่น
และสิ่งที่ผมทวิตลงใน @TAXBugnoms ก็เป็นผลมาจากการตั้งคำถามที่ว่านี่แหละครับ เพราะถ้าตอบแบบง่ายที่สุดก็คือ เราต้องเข้าใจคำว่าฐานภาษีกันเสียก่อนครับ
คำว่า “ฐานภาษี” คืออะไร
โดยปกติแล้วภาษีจะคำนวณจากสิ่งที่เรียกว่า ฐานภาษี และกำหนดอัตราภาษีที่ใช้คำนวณขึ้นมา ซึ่งฐานภาษีถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการคำนวณภาษีตัวหนึ่งที่สำคัญมาก (แนะนำบทความ อยากเข้าใจภาษี ควรรู้จัก 3 องค์ประกอบนี้)
โดยฐานภาษีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมีอยู่ 3 ฐานครับ นั่นคือ รายได้ การบริโภค และ ความมั่งคั่ง (ทรัพย์สิน) ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าเรามีฐานพวกนี้มาก เราก็ย่อมเสียภาษีมากเป็นเรื่องธรรมดาครับ

ดังนั้น ถ้าเราจะทำให้ตัวเองไม่ต้องเสียภาษี ย่อมแปลว่า เราต้องไม่มีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทั้ง 3 ฐานทีว่ามานี้ครับ นั่นคือ รายได้ บริโภค และ ทรัพย์สิน ซึ่งการทำได้จริงจะเริ่มยากแล้วใช่ไหมครับ
ถ้าไม่อยากเสียภาษี = ต้องไม่มีฐานภาษี
ทีนี้ ถ้ามาลองคิดกันแบบใกล้เคียงอุดมคติสักหน่อย มันก็น่าจะพอจะมีทางอยู่เหมือนกันครับ แต่เราต้องหนักแน่นและเข้าใจหลักการของภาษีแต่ละฐานให้ดีเสียก่อนครับ
เริ่มจากฐานแรก คือ ฐานรายได้ ซึ่งวิธีการไม่เสียภาษีจากฐานนี้นอกจากการไม่มีรายได้แล้ว มันยังมีวิธีแฝงอยู่ครับ นั่นคือ การทำให้ตัวเองได้รับรายได้ (หรือเงินได้) ที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีแทนครับ
ถ้าพูดเป็นคำชิก ๆ คูล ๆ ที่กูรูภาษีเขาพูดกัน เขามักจะพูดกันว่า เปลี่ยนรายได้ให้เป็นรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี ซึ่งถ้าดูตามกฎหมายยกเว้นรายได้ที่ต้องเสียภาษี (มาตรา 42 แห่งประมวลรัษฏากร และกฎกระทรวง 126) พบว่าพอจะมีช่องทางให้เลือกใช้หลายช่องเหมือนกันครับ เช่น เราต้อง…
- เบี้ยประชุมกรรมาธิการหรือกรรมการ หรือค่าสอน ค่าสอบที่ทางราชการหรือสถานศึกษาของทางราชการจ่ายให้ แบบนี้ถ้าเราประกอบอาชีพเป็นอาจารย์พิเศษให้กับทางราชการหรือหน่วยงานศึกษาของทางราชการ อันนี้ก็พอจะไหวนะครับ
- มีรายได้จากการลงทุนที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี เช่น ดอกเบียเงินฝากที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี เช่น ดอกเบี้ยเงินฝากเผื่อเรียกของธนาคารออมสิน สลากออมสิน หรือ สลากธ.ก.ส. ไปจนถึงการลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพราะกำไรจากการขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี (แต่ต้องไม่ได้เงินปันผลนะครับ เพราะจะถูกหักภาษี ณ ทีจ่าย 10%) หรือการลงทุนในกองทุนรวมที่ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการขาย แบบนี้ก็พอจะได้อยู่เหมือนกันครับ
- แต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้วให้คู่สมรสดูแล หรือมีคนในครอบครัวดูแล อันนี้ถ้าเขาให้เงินเราไม่ถึง 20 ล้านบาทต่อปี ก็ไม่ต้องเสียภาษี หรือแม้แต่มีคนดูแลเฉยๆที่ไม่ใช่คู่สมรสแล้วเขาให้เงินเราไม่ถึง 10 ล้านบาทต่อปี แบบนี้ก็พอไหวเหมือนกัน เพราะจะได้ไม่ต้องเสีย ภาษีการรับให้
ถ้าสรุปในขั้นตอนของฐานรายได้หรือเงินได้นั้น แปลว่า เราต้องมีเงินทุนในระดับหนึ่งที่พอจะเลือกปฎิบัติอาชีพได้ หรือไม่ก็ต้องมีคนเลี้ยงดูเรานั่นเองครับ
มาต่อกันที่ฐานที่ 2 อย่าง ฐานบริโภค กันบ้าง บอกตรง ๆ ว่าฐานนี้ค่อนข้างจะยากหน่อยครับ เพราะว่ามันเป็นภาษีที่เกิดจากการจับจ่ายใช้สอย ที่ทุกคนมักจะรู้สึกว่าตัวเองต้องเสียอยู่แล้ว โดยถูกผู้ขายหรือผู้ให้บริการผลักภาระมาให้ นั่นคือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT นั่นเองครับ
แต่วิธีการซื้อของไม่ให้เสีย VAT นั้นก็พอมีอยู่ครับ โดยเราจะใช้วิธีต่อไปนี้
- ซื้อของที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือได้รับสิทธิยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น พวกผักสด เนื้อสัตว์ต่างๆ ที่ไม่ผ่านการแปรรูป (เอามากิน) หนังสือ นิตยสารตำราเรียน (เอามาอ่านหาความรู้)
- ซึ้อของจากผู้ที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ได้รับยกเว้น หรือ หนีภาษี) เช่น ซื้อจากเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท (หรือพวกที่เกินแล้วไม่เสียภาษีก็พอจะไหวอยู่ แต่อันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะเขากำลังทำผิดกฎหมายอยู่นั่นเองครับ)
- บอกให้คนที่ดูแลเลี้ยงดูเราซื้อให้ ซึ่งตรงนี้ถ้าหากใครมีผลพวงจากภาษีเงินได้ที่ไม่ต้องเสียโดยให้คนดูแล ก็บอกให้เขาซื้อให้แทนครับ แม้ว่าเขาจะเสีย VAT แต่มันก็เป็นเงินของเขาไม่ใช่เงินเรา (ถือว่าเป็นการเลี่ยงบาลีแบบเนียน ๆ)
สำหรับขั้นตอนของฐานการบริโภคนั้น วิธีการที่สำคัญคือ เราต้องไม่จ่ายเอง หรือซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเองครับ
แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ย่อมแปลว่าพวกร้านอาหาร ห้างร้านแบรนด์ดัง ร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้าทั้งหลาย เราไปซื้อหรือรับบริการจากเขาไม่ได้เหมือนกันนะครับ เพราะมันมี VAT อยู่ในนั้นหมด ไปจนถึงท่องเที่ยวที่พักต่างๆด้วย เพราะเราก็ต้องช่วยจ่าย VAT อีกต่อหนึ่งเหมือนกัน
อ้อ เมื่อพูดถึงฐานนี้ ผมแนะนำว่าอย่าลืมพวกภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการบริโภคด้วย เช่น ภาษีสรรพสามิต ดังนั้นพวกเครื่องดื่มมึนเมาต่างๆ บุหรี่ เราก็ต้องเลิกเหมือนกันครับ ไม่งั้นจะต้องเสียภาษี ไปจนถึงภาษีนำเข้าส่งออก ดังนั้นถ้าใครเคร่งมากๆ ก็อย่าไปซื้อของที่ต้องผ่านพิธีศุลกากรนะครับ เพราะมันต้องเสียภาษีมาแล้วต่อหนึ่ง (ดูเหนื่อยเหมือนกันแฮะ)
ส่วนสุดท้าย เรื่องของฐานภาษีจากความมั่งคั่ง หรือจริง ๆ คือการเก็บภาษีจากทรัพย์สินนั่นแหละครับ สำหรับกลุ่มนี้คำแนะนำดูเหมือนจะง่ายที่สุด นั่นคือ อย่ามีทรัพย์สินเลย (ใช้ของหรืออาศัยคนอื่นแทน) และถ้าหากเช่าทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีในส่วนนี้ ก็ต้องให้ผู้ให้เช่าเป็นผู้รับผิดชอบแทน และไม่ยอมให้ผลักภาระให้เราได้ เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ก็จะทำให้จัดการได้ไม่ยากนัก
เราพยายามมากเกินไปหรือเปล่า ?
ถึงแม้ว่า หากเราพยายามก็พอจะทำได้อยู่เหมือนกันนะครับ เพราะว่ามันก็มีช่องทางของมันอยู่ แต่ถ้าเราทำแล้วรู้สึกดีจริง ผมว่ามันเป็นเรื่องแปลกๆนะครับสำหรับคนที่คิดแบบนี้แล้วสบายใจ และมันดูเหมือนว่าเราพยายามมากเกินไปหรือเปล่า
ดังนั้น ผมอยากให้ลองย้อนกลับมาถามตัวเองดีกว่าว่า เราต้องการไม่จ่ายภาษี หรือ ต้องการประหยัดภาษี เพราะถ้าหากเป้าหมายของเรา คือ การไม่จ่ายภาษีเลย มันคงจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะการใช้ชีวิตแบบนั้นมันคงไม่มีความสุขสักเท่าไร คนอะไรจะไม่สามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างที่ต้องการ เพียงเพราะว่าไม่อยากจ่ายภาษี แต่ยอมแลกมาด้วยการกระทำที่แปลกประหลาดในหลายรูปแบบ และถ้ามองดูกันจริง ๆ ก็จะเห็นว่า การไม่จ่ายภาษีมันเป็นแค่ส่วนของเรา แต่คนอื่นเขาก็ยังต้องจ่ายอยู่ดี และบางทีมันก็มีบางส่วนที่เขาแอบผลักมาให้เรา เช่น กำไรที่เขาเอาไปเสียภาษีเงินได้ ก็เก็บมาจากราคาขายที่ขายให้เรานี่แหละ
ดังนั้นสิ่งที่ผมต้องการสื่อในบทความนี้ ไม่ใช่การบอกว่าไม่เสียภาษีคือวิธีที่ถูกต้องหรือสนับสนุนให้คนหลีกเลี่ยงภาษีหรอกนะครับ แต่ต้องการให้มองเห็นถึงความสำคัญเรื่องความรู้ความเข้าใจในเรื่องภาษี เพื่อให้เห็นว่าจริง ๆ แล้ว เราต้องทำความเข้าใจในเรื่องของฐานภาษีให้ดี และจ่ายภาษีตามจำนวนที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ถ้าใครอยากฟังความเห็นเพิ่มเติมของผมในเรื่องนี้ สามารถฟังได้ที่นี่ครับ
และท้ายที่สุดนี้ ขอฝากไว้สักนิดนะครับว่า ไม่ว่าเราจะเสียดายภาษีที่ต้องจ่ายมากแค่ไหน หรือไม่ต้องการจ่ายภาษีมากเท่าไร สิ่งที่เราทำได้ คือ จ่ายภาษีไปอย่างถูกต้องและวางแผนประหยัดภาษีให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของเราที่สุดนั่นแหละครับ
เพราะนั่นคือวิธีที่ดีที่สุดที่เราควรทำ
TAXBugnoms